06/07/17 – Empire of Lust (Ahn Sang Hoon/ South Korea/ 2015) – 3.5/5
ความฉิบหายของหนังคือชื่อไทย คาฮี อะไรนั้นแหละที่ทำให้คนมองหนังไปอีกมุม ทั้งๆที่จริงๆแล้วหนังก็ไม่ได้แย่อะไร เอาเข้าจริงเราพบว่าบทมันดีและดูสนุก
หนังมันเบตระหว่างการช่วงชิงบัลลังค์กับปูมหลังของตัวละครได้พอดิบพอดีและสนุกทั้งสองทาง มีเน่าบ้างแต่ถือว่ายังไม่เสียหายอะไร
หากจะมีอะไรให้คิด ก็คงเป็นประเด็นเรื่องการตามหาความเท่าเทียมที่ตัวพระ-นางเป็นตัวแทนในประเด็นนี้ คนนึงคือผู้ใต้บังคับบัญชาที่ต้องทำอะไรตามคำสั่ง อีกคนคือคนชั้นล่างที่ถูกกระทำย่ำยี
ในหนังเกาหลีจำพวกการช่วงชิงบังลังค์โดยมีอิสตรีเป็นตัวแปรในทางใดทางหนึ่ง เรายังคงชอบ The Concubine (2012) มากที่สุด
09/07/17 – Logan (James Mangold/ US/ 2017) – 4.5/5
ไม่เคยชอบตัวละครวูฟเวอรีนเลยให้ตายซิ เก่งเวอร์แถมตายยาก จนมาได้ดูเรื่องนี้นี่แหละ อือหือ ชอบมาก มันเอาสิ่งที่เราเกลียดออกไปหรือไม่ก็ใส่เหตุผลที่เรารับได้เข้าไปเสริม ยิ่งพอหนังใส่ความเป็นมนุษย์เข้าไปให้มันเราเลยได้เห็นมิติที่น่าสนใจมากมายของตัวละครตัวนี้ ตัวละครแก่หงำเหงือก ไร้ซึ่งพลังชีวิตที่มีความต้องการเพียงแค่ใช้ชีวิตให้รอด อยู่ในกฏของสังคมให้ได้ แถมยังต้องมาดูแลคนป่วยด้วยความรู้สึกผิดบาปในใจอีก
แถมตลอดทั้งเรื่องพี่ก็ซัดคนดูในทุกอณูองค์ประกอบของหนัง นอกเสียจากตัวละครแก่หงำเหงือกไร้ซึ่งแรงขับใดๆแล้วมันยังเต็มไปด้วยภาพความแห้งแล้งของผืนทราย ลมแห้งๆ แสงนีออนชืดๆ หรือแม้ในป่าที่เขียวขจียังดูแห้งแล้งไร้ซึ่งวิญญาณเลย
ที่ชอบที่สุดคงเป็นเรื่องของการเป็นมนุษย์กลายพันธ์ที่ไม่ได้อยากกลายพันธ์แต่ถูกทำให้กลายพันธ์ของตัววูฟเวอรีน การเป็นกึ่งกลางระหว่างมนุษย์กับอมนุษย์ การไม่มีฝักฝ่ายที่ชัดเจนที่มันเสริมให้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างโลแกนกับลอร่ามีเหตุมีผลและเรารู้สึกร่วมกับมัน (ทั้งๆที่ประเด็นความสัมพันธ์ทางสายเลือดอะไรเทือกนั้นมักจะเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยชอบเป็นการส่วนตัว) เอาจริงๆประเด็นนี้มันก็มีในหนังชุดนี้หรือในเอ็กซ์แมนแหละ แต่เรารู้สึกกับมันในเรื่องนี้มากกว่า
เป็นการปิดชีวิตของตัวละครได้งดงามจริงๆ
12/07/17 – Spider-Man: Homecoming (Jon Watts/ US/ 2017) – 3/5
รู้สึกถูกต้องมากๆที่ดูต่อจาก Logan เมื่อหนึ่งคืออดีตฮีโร่แก่หงำที่ต้องการจะรีไทร์ตัวเอง ส่วนเรื่องนี้คือวัยรุ่นที่อยากจะเป็นฮีโร่ ต่างคนต่างพบปัญหาของชีวิตที่แตกต่างกันในช่วงวัย สะท้อนภาพคนในอยากออกคนนอกอยากเข้าได้พอดิบพอดี คิดภาพปีเตอร์ พาร์คเกอร์แก่ไปเป็นโลแกนก็น่าสนุกดี
เอาเข้าจริงมานับๆดู เราดูหนังมาเวลครบทุกเรื่องเลยวุ๊ย แล้วในช่วงหลังๆ ทุกครั้งที่ดูหนังมาเวล เราก็มักจะดูว่ามึงจะไปได้สุดได้เท่าไหนและเมื่อไหร่ แต่มันก็สามารถหาที่ทางออกของมันได้ในทุกเรื่อง แม้แต่เรื่องนี้ มึงฉลาดจริง อันนี้ยอมๆ
เราเฉยๆกับ Cop Car หนังเรื่องก่อนของ ผกก. ซึ่งเรื่องนี้ในประเด็นเดียวกันเราก็เฉยๆ 555 แต่ดีที่หนังมันสนุก ชอบความกระสันอยากเป็นฮีโร่ของวัยรุ่นพร้อมกับการเรียนรู้ที่ออกมาอบูาในโซนดีมากกว่าจะยี้
ชอบตัวเพื่อนเนิร์ดของปีเตอร์ เป็นตัวรองที่มีเป้าหมายชัดเจนคือการเป็นผู้ช่วยฮีโร่ เป็นซับพอร์ตเตอร์อ้วนๆชาวเอเชีย ชายขอบมันต้องให้สุด
เกลียดฉากท้ายเครดิต, รักป้าเมย์ แล้วก็อยากรู้ว่า MJ จะมีบทบาทอย่างไรต่อไปกับความเป็นขบถของเธอ
17/07/17 – Bahubali: The Beginning (S.S. Rajamouli/ India/ 2015) – 4/5
โม้สนั่นตั้งแต่เปิดเรื่อง แต่ใครจะแคร์ล่ะถ้าหนังมันสนุกฉิบหายและสูบฉีดอดีนาลีนได้ขนาดเน้!!! หนังอีพิคมันต้องเบอร์นี้โว้ยยยยยย
ขอดูภาคสองก่อนในเร็ววันนี้ ค่อยเขียนทีเดียว
ซีนจำไม่ลืม: การเต้นระบำร้องเพลงเพื่อแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วนางเอกคือสาวสวย ไม่ใช่นักรบ
18/07/17 – Mountains May Depart (Zhangke Jia/ China, France, Japan/ 2015) – 5/5
ตายแล้วววว เพิ่งมารู้ตัวเองว่าไม่เคยดูหนังของเจี่ยเลยซักเรื่อง เคยดูได้ Platform แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ดูไม่จบ กรี๊ดดดดด กูไปอยู๋ไหนมาาาาาา
หนังเล่าเรื่องราวใน 3 ช่วงเวลาคือ 1999, 2014 และในอนาคต 2025 ผ่านชีวิตของตัวละครหลัก เชินเตา สาวผู้มีรอยยิ้มบนหน้าตลอดเวลาที่แม้ยุคสมัย อายุและเส้นทางที่เดินจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
เราชอบที่หนังมันค่อยเพิ่มดีกรีความเศร้าความเครียด ขึ้นไปตลอดทางของหนัง จากเด็กสาวที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่จนแก่กับผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเยอะแยะมากมายของสังคมที่อาศัยอยู่ จากพาร์ตแรกในเรื่องรักสามเศ้าแบบเด็กๆ พาร์ตสองที่เริ่มพบการสูญเสีย จบที่พาร์ตสุดท้ายกับการโตเต็มวุฒิภาวะและเข้าใจโลกที่เป็นอยู่
อีกด้านคือภาพผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมและเศรษฐกิจของจีน จากความหวังสู่ความผิดหวัง จากความรุ่งโรจน์สู่ภาวะไร้ความหมาย รวมไปถึงภาพความเป็นจีนในโลกที่โกลบอลขึ้นทุกวัน ความเป็นจีนที่ถูกกลืนให้หายไป รากเหง้าเลือนลาง เหลือไว้เพียงสิ่งเล็กสิ่งน้อยเท่านั้นที่ยังระบุได้ว่าเป็นจีน แต่ก็เป็นในความหมายของการหวนรำลึกมากกว่าการจะเข้าใจในแก่นของมัน
ชอบกิมมิกของหนังอย่างเพลง Go West, เพลงกวางตุ้ง, เกี๊ยวหรือเด็กถือทวน ที่มีอยู่ในหนังในทุกช่่วงเวลาแต่กลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละช่วง จากเพลงรักงดงามไปเป็นเพลงให้หวนคิดถึงหม่นเศร้าจนกลายไปเป็นเพลงแห่งความทรงจำ เกี๊ยวกลายเป็นอาหารเชื่อมความสัมพันธ์ จากเพื่อนสู่ลูกและกลับมายังตัวเอง, จากเด็กน้ำตานองแก้มแดง เติบใหญ่เป็นวัยรุ่นไร้ปฏิสัมพันธ์จนถึงคนเล่นกอร์ฟอัศยาศัยดี
แต่ที่รุนแรงที่สุดคือเพลง Go West ที่ใช้เปิดและปิดหนังที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างอย่างสุดขั้วจนทำให้ทำน้ำตาแตกอาบแก้มในซีนจบ
ปล. สัญญาว่าจะดูหนังของเจี่ยให้ครบโดยเร็ว
19/07/17 – The Brothers Grimsby (Louis Leterrier/ UK, Australia, US/ 2016) – 3.5/5
เราสามารถมอบคำพูดประมาณ อุบาท สถุล เลวทราม ต่ำช้า เหี้ยห่า หรือถ้อยคำอะไรก็ตามประมาณนี้ให้กับหนังเรื่องนี้อย่างไม่ต้องเคอะเขินใดๆแถมยังรู้สึกดีเสียด้วยที่ได้สบถด่าหนังแบบนั้น แต่ให้ตายเถอะหนังแม่งบันเทิงจริงๆว่ะ
pc ไม่ pc นี่ช่างหัวแม่งไปเถอะเนอะถ้าหนังมันสนุกเหี้ยๆ ความบัดซบทั้งมวลแม่งมาถูกช่วงถูกเวลาสัดๆ มุขก็เหี๊ยเหี้ย ขำฉิบหาย แต่ก็รู้ว่าแม่งเหี๊ยเหี้ยอะ ประเทศอังกฤษนี่โดนกัดเสียยุ่ยเลย 555
แต่ที่เรารู้สึกที่สุดก็อีตัวนักแสดงนี่แหละ อีชาช่าก็นี่รู้กันอยู่แล้วไม่แปลกใจอะไร แต่กับพี่ มาร์ค สตรองค์ นี่ดิ โอโห มาดดีๆที่กูจดจำไว้ในหัวนี่หายไปหมดเลย หมดกันพี่ล้านกู
22/07/17 – Dunkirk (Christopher Nolan/ US/ 2017) – 2.5/5
– เพิ่งอ่านไบโอฯเล่มที่สัมภาษณ์หัวลำโพง ลิดึม คนทำดนตรีประกอบหนังมา เขาว่า “ดนตรีประกอบมันไม่ควรเด่นเกินภาพ มิฉะนั้นแล้วแสดงว่าคนดูหลุดออกจากหนังแล้ว” นั่นแหละ เรารู้สึกแบบนั้นเลย (หันไปกราบ ฮาน ซิมเมอร์ สำหรับสกอร์ ทั้งๆที่ไม่ควรแต่เราชอบสกอร์ของหนังจริงๆ)
– ไม่รู้มีใครรู้สึกเหมือนเราหรือเปล่า หนังเหมือนจับเอาซีนเลือกระเบิดเรือสองลำใน TDK มาขยายให้ยาวขึ้น แค่นั้นแหละ อาจบวกรวมกับ Inception นิดหน่อยเรื่องจังหวะ
– การเชิดชูอะไรแบบนี้เราเคยซื้อนะ (ก็อีซีนที่ว่าใน TDK นั่นแหละ) แต่ตอนนี้ไม่ซื้อแล้วอะ
– ถือว่าโชคดีอยู่อย่างที่เวลาที่ไปดูมันมีแต่รอบ IMAX ภาพแม่งอลังกาลจริงๆ อันนี้ยอม
– อีกส่วนที่ชอบคือการตัดต่อ ไอ้เราก็งงว่าอะไรคือ 1สัปดาห์ 1วัน 1ชั่วโมงว่ะ จนค่อยๆมารู้เอาทีหลังแบบเนียนๆ ตะเข็บเนี๊ยบๆ อันนี้ดี ชอบ
– กับซีนเปิดเรื่องที่ซีเนมาติกมาก ดีจนตื่นตะลึง (แต่หลังจากนั้นก็…..)
– สรุปคือ ชอบโปรดักชั่นมากกว่าตัวหนัง
23/07/17 – War for the Planet of the Apes (Matt Reeves/ US/ 2017) – 1/5
– ถ้าจะปลำไยซะขนาดนี้ ไม่เห็นจะต้องยาวเว่อร์แบบนี้เลย เอาสั้นๆก็ได้นะ สองชั่วโมงนี่ยาวจนเลียนแบบการหายใจแรงๆของวานรได้หลายพันธุ์เลย
– สงสาร แอนดี เซอร์กิส จังเลย คนที่เชียร์ให้มีการมอบรางวัลการแสดงให้กับนักแสดงโมชั่นแค็ปเจอร์คงได้แต่เซ็งที่หนังมันออกมาแบบนี้ เซอร์กิสทำดีที่สุดแล้ว แต่บทมันไม่ได้จริงๆ
– ที่เกลียดสุดๆคือ อี จาจาบิง วอนนาบี น่ารำคาญสัดๆๆๆๆ (เผื่อใครคิดไม่ออก มันคืออี bad ape นั่นแล)
– เสียดายที่ไตรภาคมันจบแบบนี้ ทั้งๆที่สองภาคก่อนเราว่ามันโอเคทีเดียว หากให้เรียงลำดับก็ตามแต่ละภาคเลย 1 -2 – 3
24/07/17 – Saudade (Katsuya Tomita/ Japan/ 2011) – 4/5
เหมือนได้เปิดโลกใบใหม่เลยแหะ คือโลกในหนังนี่มันไม่เหมือนกับบรรดาหนังญี่ปุ่นที่เราเคยได้ดูมาเลย มันเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดแต่มันกลับเรียลและดิบดี
ที่เราสนใจมากๆมีสองส่วน หนึ่งคือการพูดถึงคนชั้นแรงงานญี่ปุ่นในต่างจังหวัด โอโห ทำไมไม่เห็นเหมือนตัวละครแรงงานในหนังญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆเลยว่ะ ทำไมมันดูชีวิตทุกข์ยากกันจริงๆ ยิ่งหนังมันแวดล้อมด้วยสภาพเศรษฐกิจที่กำลังแย่ด้วยแล้วยิ่งทำให้เรื่องการหาโอกาสของตัวละครมันยิ่งยากเข้าไปกันใหญ่ อย่างที่บอก มันดูเรียลจนเรารู้สึกกับตัวละครไปด้วยว่า เออ ฝันพวกมึงไม่มีวันเป็นจริงได้หรอกกับชีวิตแบบนี้ มีแต่เหี้ยลงๆ
สองคือเรื่องชาติพันธุ์ที่มีในหนัง นอกจากญี่ปุ่นแล้วก็มี บราซิล ไทย ฟิลิปปินส์ ซึ่งมันก็เล่นกับการกลืนกันของชาติพันธุ์ เรื่องชาติกำเนิด ตัวตน การลืมรากเหง้าหรือแม้แต่ความขัดแย้ง มันหลากหลายและน่าสนใจดีที่เราไม่เคยเห็นในหนังญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆ อาทิ คนญี่ปุ่นที่ไม่อยากเป็นญี่ปุ่น ญี่ปุ่นที่รับวัฒนธรรมคนดำฮิปฮอปแต่เกลียดบราซิล บราซิลผู้เกิดในญี่ปุ่นกับคำถามถึงความเป็นบราซิลของตัวเอง บราซิลที่แต่งงานกับคนฟิลิปปินส์แต่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นและกำลังคิดไม่ตกว่าจะย้ายประเทศไปอยู่ที่ไหนดี หรือกับหญิงไทยกับการต้องเลือกสัญชาติตัวเอง
เรารู้แหละว่าในญี่ปุ่นมีชุมชนบราซิลและในบราซิลก็มีชุมชนคนญี่ปุ่นอยู่เยอะ ซึ่งพอมาได้เห็นในหนังแล้วมันรู้สึกเปิดโลกทัศน์ดี
ปล. ชอบการมีอยู่ของน้ำดื่มในเรื่องมากๆๆๆๆๆ มันประหลาดดี
26/07/17 – Valerian and the City of a Thousand Planets (Luc Besson/ France/ 2017) – 1/5
ไม่อยากจะเชื่อว่าทำไมมันถึงคร่ำครึและไร้ชั้นเชิงได้ขนาดนี้ ตั้งหน้าตั้งตาอัดทุกอย่างตามสูตรแสนน่าเบื่อแบบไม่สนใจสมงสมองคนดูเลย รู้สึกเฟลไปหมดทุกภาคส่วน จะโรแมนติกก็หลอก (พ่นเรื่องความรักเหี่ยห่าตอนท้ายอะไรนั้นกูรู้สึกเสนียดมากอะคะ) ตัวร้ายที่โผล่ออกมาก็เห็นคำว่า “Bad Guy” บนหน้าผากเลยตั้งแต่ครั้งแรก แล้วอะไรคืออีเจ้าหญิงออกมาเดินลั้ลลาริมหาดตอนเปิดเรื่อง คือจะบอกว่าดาวมึงมีความสุขมวลรวมสูงกว่าดวงดาวอื่นว่างั้น
บทจะชมเรื่องจินตนาการล้ำเหลือยังไม่ได้เลย เพราะนอกจากจะไม่ว้าวใดๆแล้วยังรู้สึกเหมือนคิดอะไรได้ก็ใส่ยัดๆมันเข้าไป ผลคือเละคะ
แต่มีดีขึ้นมานิดนึงตอนช่วงท้ายที่พูดเรื่องการกวาดความผิดพลาดชั่วร้ายในอดีตไว้ใต้พรมของฝ่ายรัฐ และการพยายามก้าวข้ามความโกรธแค้นด้วยการยอมรับและเรียนรู้อดีตของชาวมิวส์ เพราะเอามาวางลงบนบริบทไทย แต่ก็นะ มันก็แค่ระดับผิวเผิน
ดังนั้นแล้ว คะแนนที่ดีดมาได้นี่มาจาก เดอเลวีญ ล้วนๆ
ปล. ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแปลอักษรภาษาอังกฤษเป็นอักษรไทย ทำไมไม่ทับศัพท์ไปเลย งง
29/07/17- Chang-ok’s Letter (Shunji Iwai/ South Korea, Japan/ 2017) – 5/5
เติมเต็มมากกกกกกก ใครที่คิดถึงหนังชุนจิในโหมดอบอุ่นยุคแรกๆของเขาอย่าง Love Letter หรือ April Story นี่ได้ฟินให้หายคิดถึงกันเลย (แน่นอนเพลงเพราะฉิบหายเหมือนเดิม)
เส้นเรื่องไม่มีอะไรมาก เป็นหนังสั้นๆ 4 ตอนเกี่ยวกับแม่ผัวกับลูกสะใภ้และครอบครัวของเธอ เรื่องเล็กๆ เหตุการณ์เล็กๆ เล่าง่ายๆ ถ่ายทอดออกมาเรียบๆ แต่ทัชมากกกก (ไม่สิ! เว้นตอนแรกไว้เพราะเป็นลองเทคทั้งเรื่อง!)
และเอาเข้าจริงพอถึงตอนสุดท้ายในช่วงที่ทุกอย่างคลี่คลายที่หนังเริ่มสดสว่างขึ้นมาอย่างน่าตกใจ เราเริ่มรู้สึกหวาดกลัวว่าหนังจะจบแบบนี้ แต่พอแบดูน่าเอ๋ยประโยคลอยๆ “มันจะเป็นแบบนี้ได้อีกนานเท่าไหร่คะ” โอโห กราฟดูดิ่งพุ่งขึ้นเลย
แบดูนา ดีแบบดีมากกกกกกกกกกกกกกกก
ปล. ตอนไปเกาหลีก็เห็นร้านเนสกาแฟอยู่ ไม่เคยคิดจะเข้าไปเลย แต่พอดูหนังเรื่องนี้แล้วอยากเข้าไปลองจริงๆ ยอมเป็นทาสการตลาดถ้ามันออกมาดีแบบนี้