Batman v Superman: Dawn of Justice

Film I’ve seen in April 2016

03/14/16 – 10 Cloverfield Lane (Dan Trachtenberg/ US/ 2016) – 1/5

ดูแบบหนีสปอร์ยสุดฤทธิ์ ด้วยความที่เราเป็นคนหนึ่งทึ่ชอบหนัง Cloverfield มากๆ เลยพยายามจะไม่รู้อะไรกับหนังก่อนเลย เห็นอย่างเดียวคือตัวอย่าง แค่นั้น ดูจบก็พบว่าสิ่งที่เราพยายามหลบเลี่ยงมาตลอดช่างน่าอดสูสิ้นดี คือถ้ามันอิงกับ Cloverfield อยู่แล้วมันก็ไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องประหลาดใจเลยเพราะเรารู้ๆกันอยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น ยิ่งมารู้ทีหลังว่าจริงๆแล้วแรกเริ่มนั้นหนังมันไม่ได้เกี่ยวกับ Cloverfield เลยแต่สตูดิโออยากให้เอามาเกี่ยวกันให้ได้ เลยทำให้เรายิ่งโกรธ (ข้อมุลนี้เจอในรีวิวมิตรสหายซักคน)

แล้วก็ต้องทำใจแหละว่าหนังที่มันขับเคลื่อนด้วยปริศนาล้วนๆแบบนี้มันก็ต้องโดนคนดูคาดคิดคาดเดากันไปก่อนอยู่แล้ว ยิ่งสมัยนี้อะไรที่มันจะทำให้คนมันว้าวได้มันไม่ไช่ง่าย ไอ้ประเด็นนี้มันเลยสอบตกไปเพราะปริศาภายนอกห้องเรารู้กันอยู่แล้ว(เพราะมันอิง Cloverfield) ก็เหลือแต่ปริศนาภายในห้องที่ทำให้มันกลายเป็นหนังทริลเลอร์ ทริลเลอร์แบบไม่ได้มีอะไรใหม่หรือดีเด่นอะไรเลย

แล้วเราก็มีปัญหากับอีตัวนางเอกที่ไม่รู้ว่าแม่งเก่งกาจมาจากไหน มันไม่น่าเชื่อ แต่หากจะมีส่วนที่ชอบบ้างก็คือเรื่องของอาการ หนีเสือปะจระเข้ ของตัวนางเอกกับเพื่อนชาย (กูจำชื่อไม่ได้แล้ว โทษที) ที่พยายามวิ่งหนีสิ่งที่กลัวแต่ก็ต้องมาเผชิญกับสิ่งนั้นอยู่ดีเพื่อผลแห่งการไถ่ถอนบาปในใจ ซึ่งก็ อืมมมมม

จะให้นิยามก็คงคิดถึงหนังอย่าง Monster ผสมกับซีรี่ย์ LOST อะ

12/04/16 – Tokyo Story (Yasujirō Ozu/ Japan/ 1953) – 5/5

– งดงามน้ำตาไหล

– ครอบครัว ช่วงวัย วันเวลา การเปลี่ยนแปลง ความตายและการจากลา

– ชอบตัวละครของ เซ็ตซึโกะ ฮาร่า มากๆ ตัวละครที่มันติดกับๆอดีตและกลัวที่จะก้าวข้าม เป็นคนนอกของครอบครัวหลักในเรื่องแต่กลับส่งผลสะเทือนที่สุด

– กราบโอสุ รู้สึกผิดที่เพิ่งจะมาได้ดูหนังโอสุเอาในปีนี้ (เรื่องแรกคือ Late Spring)

13/04/16 – Batman v Superman: Dawn of Justice (Zack Snyder/ US/ 2016) – 2/5

– ถ้าจะว่ากันแค่นี้ พี่ไม่ต้องยาวขนาดนี้ก็ได้นี่นา

– ประเด็นเชยมาก ซึ่งก็เข้าใจแหละว่าไม่ใช่ส่วนหลัก ส่วนหลักคือมึงต้องการขายพ่วงจักรวาลของมึง แค่นั้นเอง

– แต่อีแต่ละตัว(เว้นอีสามตัวหลัก)ที่ออกมาเกริ่นๆก็ทุเรศโสกังจังเลย

– มุกชีวิตเปลี่ยนเพราะแม่ชื่อเดียวกันทำเอากูขำมาก ขำจริงขำจัง

– สงสารหนูเอมี่ อดัมส์ โถ ภาระชีวิตสัดๆ

– ชอบสุดคือ แกล กาโดต์ ดูน่าสนใจมากกว่าอีเพศผู้โง่ๆสองตัว ชอบความคึกคะนองซุดซนนิดๆของนาง จนขอรอดูหนังของนางเอง

14/04/16 – No Strings Attached (Ivan Reitman/ US/ 2011) – 4/5

– นอนไม่หลับ เปิดทีวีเจอเรื่องนี้เลยนอนดูยาวเลย

-ดูรอบสองแล้วก็ยังชอบ มันเป็นแฟนตาซีแหละไม่เถียงแต่พอมันบอกว่าคนเราแม่งหนีความรักไปไม่พ้นหรอก อันนี้เรายอม จะเจ็บหรืออะไรยังไงก็ไว้ค่อยว่ากันอีกทีนึง

 

 

15/04/16 – Margin Call (J. C. Chandor/ US/ 2011) – 4.5/5

เห็นด้วยว่านี่คือซับเซ๊ตหนึ่งจากหนัง The Big Shot ที่เล่าเรื่องในช่วงเวลา 36 ชม. สุดท้ายก่อนการล่มสลายของวอลสตรีทในปี 2007 โดย TBS คือภาพกว้างของวิกฤต ส่วนเรื่องนี้คือส่วนย่อยในระดับบริษัทมหาชน

ชอบโครงสร้างของหนังมากๆที่มันเล่าเรื่องจากล่างขึ้นบนตามลำดับขั้นของพนักงานในบริษัท จากระดับผู้ปฏิบัติงานขึ้นไปสู่ผู้บริหารที่ก็แยกย่อยไปอีกหลายระดับจนหนังมันสามารถใส่เรื่องราวปลีกย่อยอื่นๆในส่วนนี้เข้าไป อาทิ การเปิดตัวอย่างไร้หัวใจของผู้บริหาร อายุของผู้ทำงานที่ขัดแย้งกัน ขอบเขตอำนาจหน้าที่รับผิดชอบหรือกับความรู้ความเข้าใจในงานที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แล้วพอมันไล่ลำดับจนสุดแล้ว เผยโครงสร้างออกมาให้เห็นแล้ว สิ่งที่หนังมันทำต่อไปคือการดีลประเด็นหลังของมันคือเรื่องวิกฤตที่ว่า มีการประชุมรวมหัว ร๊อบบี้ (ทั้งการ๊อบบี้หาพวกและร๊อบบี้หาแพะ) พร้อมๆไปกับการค่อยๆเผยธาตุแท้ๆของสิ่งที่พวกเขาๆทำกันอยู่

และถึงหนังมันจะเล่าทุกอย่างเป็นระบบแบบแผน (อย่างงานก็คืองานที่ก็ต้องเดินไปตามระบบ ส่วนคนก็คือคนที่ถึงจะมีหัวจิตหัวใจแต่ก็เป็นได้แค่กลไกของระบบเท่านั้น) มันก็ยังฉลาดในการเติมสิ่งที่อยู่นอกเหนือระบบเข้าไปได้อย่างพอดิบพอดี ไอ้เรื่องหมาตายที่ดูไร้สาระในช่วงต้น มันเลยรุนแรงในฉากสุดท้ายเพราะระบบมันได้กลืนกินมนุษย์คนหนึ่งไปแล้ว

16/04/16 – Cemetery of Splendour (Apichatpong Weerasethakul/ Thailand/ 2015) – 5/5

รอบแรก:

ตอนที่ดูเราไม่สนใจมิติอื่นใดมากนักนอกจากตัวเรื่องและการเล่าเรื่อง วิธีการที่พี่เจ้ยแสดงออกมามันประหลาดมาก แต่กลับมีสเน่ห์จับใจเราอยู่หมัด มันแสบสันต์และยียวนด้วยในที ชอบตัวละครป้าเจนมากๆผู้ที่เป็นนักรัก(แถมเป็นนักรักทหารเสียด้วย) ซีนพบเจ้าแม่สองพี่น้องสุดขีดมากและซีนการจำลองซ้อนทับภาพจริงและภาพฝันในพื้นที่ทับซ้อนของประวัติศาสตร์ในช่วงท้ายตราตรึงเรามากๆที่มันเล่นกับสายตาและจินตนาการของคนดู

ในบทนำของหนังสือ “”เกียวโตซ่อนกลิ่น” ที่พี่เจ้ยเป็นผู้เขียน พี่เขาบอกว่าประเทศไทยมันมีนาฬิกาอันหนึ่งที่มันมักวิ่งกลับหลังไปยังอดีตบ้างก็เดินไปข้างหน้าสลับกันไป ซึ่งเรารู้สึกว่ามันเอามาเป็นคีย์หลังของหนังได้เลย ประวัติศาสตร์ที่ซ้อนทับกันบนพื้นที่และผู้คนในพื้นที่นั้นผ่านความฝัน-ความจริงอันแสนเลือนลาง ดั่งการเดินถอยหลังของนาฬิกาของปัจจุบันและการเดินหน้าไปของนาฬิกาในอดีต ความรุ่งเรืองสมบูรณ์แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาแต่อดีตก็ยังคงส่งผลกระทบกับผู้คนในปัจจุบันผ่านความล้มเหลวของการศึกษาหรือกับระบบการปกครองอันล้มเหลวตกยุค

“รักที่ขอนแก่น” ที่นอกจากเป็นเรื่องรักของผู้คน ของพื้นที่ ของความเชื่อความศรัทธาแล้ว มันยังคือการขุดหลุมลงไปหาอดีต(ทั้งในแง่พื้นที่และจิตสำนึก) เพื่อเปรียบเปรยกับปัจจุบัน ผ่านผู้คนผู้ที่ทำได้ก็เพียงการเข้าหาทฤษฏีสมคบคิด เข้าหาสิ่งเหนือจริงเพื่อการประโลมใจได้เพียงแค่นั้น หรือไม่ก็หลับไหลไปตลอดกาล เพราะการขุดที่ว่ามันกำลังถูกฝังกลบลงอีกครั้งโดยทางการ

รอบสอง:

ดูอีกรอบก็ยังรื่นรมณ์ มีความสุขมาก แต่ด้วยการดูรอบนี้เราพยายามจับประเด็นอื่นๆมากขึ้น ก็พบว่ามันเศร้าไปด้วยในที

อย่างที่พี่เจ้ยเคยบอกว่าไอ้ประเทศนี้มันเหมือนคนกำลังหลับฝัน แล้วหนังมันก็แยกออกเป็น 2 พาร์ตตามสไตร์ของพี่เจ้ย เราพบว่าครึ่งแรกของหนังคืออาการตื่น ส่วนครึ่งหลังนี่คือก่ำกึ่งในอาการกึ่งกลับกึ่งตื่น อาการตื่นเราเห็นไฟสีแดง เขียว น้ำเงิน แต่พอตอนหลับเรากลับเป็นสีเหล่านั้นเป็นอื่น(ตามนัยยะที่ชัดเจนของสีเหล่านี้นั้นแหละ)ปกคลุมอยู่ในทุกพื้นที่, ยามตื่นเราเห็นตัวประหลาดลอยน้ำเคียงข้างกังหันน้ำที่ตราตรึงในสมองและหัวใจของป้าเจน ยามฝันเราเห็นสัตว์เซลล์เดียวขนาดใหญ่ลอยคลุมอยู่บนท้องฟ้าท่ามกลางเสียงตีน้ำของกังหันน้ำ (ตามนั้นแหละค่ะ)

รวมไปถึงเหล่าป้ายคำคมต่างๆในช่วงครึ่งหลังที่ค่อนข้างชัดว่าส่งถึงคนชั้นกลางทั้งหลาย

มันจึงไม่แปลกอะไรที่พอป้าเจนได้เห็นทุกอย่างแล้ว จึงได้บอกให้อิฐมีอายุยืนยาวแล้วเก็บเวลาไว้ใช้ในอนาคตที่ดีกว่า

แล้วพี่เจ้ยก็มาย้ำตะปูซ้ำอีกครั้งในช่วงท้ายด้วยการเล่าความฝันถึงภูเขาอิฐแตกยอดสูงเสียดฟ้าแลน่ายำเกรงและกำแพงที่ถ้าถล่มลงมาคงเป็นภาพที่สวยงามมาก

พอหนังจบมันก็ยากจริงๆที่จะเชื่อว่าเราตื่นอยู่

ปล. น่าสนใจที่เหล่าไฟของเครื่องช่วยนอนหลับนั้นไม่มีสีขาว เพราะนัยหนึ่งของหนังเรื่องนี้ ความหมายทางการของสีขาวตามที่คนไทยรับรู้นั้นไม่มีความหมายกับผู้คนในหนังโดยสิ้นเชิง

17/04/16 – Miao Miao (Hsiao-tse Cheng/ Taiwan/ 2008) – 2/5

สิ่งที่ได้จากหนังคือ

“สิ่งเหี้ยที่สุดในชีวิตคือการรักคนโง่แถมยังถูกกั้นไว้ด้วยเฟรนด์โซนอีก จนทำให้ตัวเองต้องทำอะไรโง่ๆตามไปด้วย” (ไม่ใช่คำชม)

แต่อีกห่า โชคดีไปที่พอมันอ้างว่าเป็นรักแรกแล้วเราก็เสือกให้อภัยได้อะ อันนี้ยอมตามความฉกาจของหนังรักไต้หวัน

อนึ่ง อยากให้มัน bold ประเด็นเรื่องลูกครึ่งขึ้นอีกนิด  เราว่ามันน่าสนใจดี

18/04/16 – Tropical Malady (Apichatpong Weerasethakul/ Thailand/ 2004) – 5/5

จริงๆดูหนังของพี่เจ้ยมาเกือบครบทุกเรื่องนะ ขาดแต่เรื่องนี้กับ สุดเสน่หา (Blissfully Yours) ที่ยังไม่ได้ดู แล้วพอเจอเอฟเฟคจาก “รักที่ขอนแก่น” เข้าไปเลยรีบเอาเรื่องนี้มาดู ซึ่งก็พบว่าตายสนิทสิกู

สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าไม่เคยดูหนังไทยที่ให้ความรู้สึกสุดขั้วแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ มันโหดมากทางอารมณ์ด้วยการแยกหนังเป็นสองพาร์ตตามฉบับพี่เจ้ยที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ส่งผลต่อคนดูแบบคนละโลก แต่กลับตรึงตราตรึงใจอย่างประหลาดล้ำ

ครึ่งแรกเป็นหนังรักที่หวาน รักของคู่เกย์ที่ไม่มีการประดิษฐ์ประดอยอะไรเลย เต็มไปด้วยความซื่อๆเชยๆ อาจมีประเด็นเรื่องอำนาจและไร้อำนาจอยู่ในทีแต่มันไม่ใช่ประเด็นหลักนอกเสียจากความหวานละมุนคลอเพลงวนาลี

แต่พอเข้าครึ่งหลังปุ๊บหนังเปลี่ยนไปอีกทางทำเอาเราเหวอแดกไปเลย กลายเป็นความมหัสจรรย์และเปี่ยมพลังของภาพป่าและเสียงต่างๆมากมายอันแสนประหลาด ถีบความหลอนและพิศวงไปถึงขีดสุด กูไม่รู้ห่าอะไรอีกแล้วแต่กูกลัวฉิบหาย ตราตรึงด้วยแววตาเสือ

ดูจบตีความอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยซักอย่าง แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความรู้สึกอันแปลกประหลาดแบบสุดๆ ซึ่งเราชอบความรู้สึกนี้แบบสุดๆเช่นกัน มันประหลาดพอๆกับสัตว์ประหลาดเลย

ชอบมากๆๆๆ ติดท๊อปแน่นอน

เสียดายเหี้ยๆที่ไม่ได้ดูในโรง

23/04/16 – The Mermaid (Stephen Chow/ China/ 2016) – 3/5

– เสียดายจุง พอช่วงหลังมันกลายเป็นหนังรักษ์โลกสดใสไปแล้ว เราเฟลไปเยอะทีเดียว

– ยังดีที่ก่อนหน้านั้นสไตร์ของเฮียโจวที่เรารักยังอยู่ครบ มุกควายทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม

– ส่วนประเด็นเรื่องชนชั้น ทุนนิยม บลาๆๆๆ ช่างแม่งเถอะค่ะ

– กลับไปหาหนังเฮียแกเรื่องเก่ามาดูดีกว่าวุ๊ย

27/04/16 – The Intern (Nancy Meyers/ US/ 2015) – 4/5

โอโห น้ำตาซึมเป็นระยะๆตลอดเรื่องเลยอะ คือบทมันดีจัง มันสวย มันฟีลกู๊ดแต่เราอิ่มเอมและอินกับมันเอามากๆ ลงตัวมากสำหรับหนังที่มันว่าด้วยเรื่องของความต่างของคนต่างยุคในศตวรรษใหม่

ตัวละครของ เดอ นิโร นี่จริงๆมักจะเป็นตัวละครแบบที่เราเกลียด พวกตัวละครอุดมคติโลกสวย แต่ในเรื่องนี้มันกลับทำให้เราตระหนัก การปรับตัวอะไรแบบนี้ การประณีประนอมแบบนี้อาจทำให้เรายี้แต่มันก็นำพาความคิดเราให้นึกถึงตัวเองตลอดเวลาว่าเราจะกลายเป็นคนแก่แบบที่เราเกลียด หรือจะกลายเป็นคนแก่ที่เกลียดตัวเองแต่ปรับตัวได้ เราอยากเป็นแบบไหนมากกว่า น้ำตาที่มันเอ่อก็มาจากตรงนี้แหละ ตัวละครนี้มันสร้างไว้ดีเกินกว่าที่เราเชื่อว่าเราจะสามารถเป็นได้ ความอุดมคติของมันเลยได้ผลในด้านตรงข้ามกับเรามากๆ (ซึ่งดีมาก)

ด้านตัวละครของฮาร์ทอเวย์นี่ก็เหมือนกัน มันคลิเช่ แต่เราก็ชอบแวดล้อมของเธอ ยุคสมัยที่แนวคิดความสัมพันธ์ยังคงเดิม ผลกระทบงานกับครอบครัวยังคงเดิมเพิ่มเติมคือด้านกลับของชาย-หญิง และในแง่ของยุคสมัยอันรวดเร็ว ประสบความสำเร็จรวดเร็ว เติบโตรวดเร็ว เป็นยุคสมัยที่ดุเหมือนจะทำให้คนแก่ก่อนวัยอันควร เราจึงเห็นตัวละครของฮาร์ทอเวย์เป็นคนแก่คนหนึ่ง คนแก่ในร่างวัยสาว การพบกันของสองตัวละครมันจึงกลายเป็นเรื่องของคนแก่ที่แชร์ประสบการณ์ให้แก่กันและกัน คนนึงเพื่อเรียนรู้ ส่วนอีกคนเพื่อเติบโต

อนึ่ง เคมีระหว่าง เดอนิโร กับ ฮาร์ทอเวย์ นี่ดีมากจริงๆ

30/04/16 – มะเก๋าคุณผีสี่ขา คุณหมากุ๊กกู๋ (เทพนม พิริยวรกุล/ ไทย/ 2015) – 1/5

ดูในยูทูปจนจบก็พบว่าหนังมันยังไม่จบนี่หว่า พอเข้าไปหาเพิ่มก็พบว่ามันมีหนังอยู่ 3 เวอร์ชั่น เวอร์ชั่นที่เราดูเป็นเวอร์ชั่นปกติแต่ไม่จบหายไปเกือบ 40 นาที อีกเวอร์ชั่นทำเป็นหนังขาว-ดำ ซึ่งก็ไม่จบเหมือนกันหายไปมากกว่าเดิมอีก ส่วนเวอร์ชั่นสุดท้ายมันจบทั้งเรื่องแฮะแต่ดันไม่มีเสียง!!!! เฮ้ย!!!!!! คือนอกจากพี่เหมือนจะทำการทดลองอะไรต่างๆนาๆในตัวหนังแล้ว พี่ยังทำการทดลองกับการนำเสนอหนังหรือครับ? ทั้งการเช่าโรงจัดฉายเฉพาะ แล้วก็ปล่อยให้คนดูฟรีๆในแบบที่ไม่มีเวอร์ชั่นไหนเหมือนกันเลย คือถ้าเป็นแบบนี้นี่ผมยอมครับ ยอมจริงๆ

ถามว่าดูรู้เรื่องไหม คือรู้เรื่องครับ แต่รู้เรื่องแบบประโยคบอกเล่าสั้นๆแค่ว่ามี “ใครทำอะไร” แค่นั้น และด้วยความที่ตัวละครมันเยอะมาก แบบมากๆๆๆๆๆๆๆ ไอ้การที่ว่า “ใครทำอะไร” มันเลยผสมปนเปทั่วไปหมด จนเรายอมแพ้แล้วให้หนังดำเนินไปแบบเรื่องของหนังเลย ไม่ยุ่งละ ขอดูอยู่ห่างๆก็พอ (ดันไม่จบด้วยนี่ดิ เซ็งมาก)

ทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่มีปัญหาเรื่องเทคนิคนะที่พอรู่แบล็คกราวด์ของหนังมาบ้างก็พอเข้าใจได้ แต่ก็นั้นแหละ มันก็ไม่ช่วยอะไรกับหนังเลย

ดูจบ ปิดไฟ นอน แล้วก็งงว่ากูดูอะไรมาว่ะ!